จับตาคืนนี้ 24:00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง โดนัลด์ ทรัมป์

พิธีสาบานตนของทรัมป์ ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในเวลา 12.00 น.ของวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น หรือเที่ยงคืนวันนี้ (20 ม.ค.) ตามเวลาในไทย โดยตามการรายงานของสื่อระบุว่ามีการระดมเจ้าหน้าที่เพื่อพิธีนี้กว่า 25,000 นาย ซึ่งการสาบานตนครั้งนี้นักลงทุนจับตานโยบายที่ทรัมป์จะนำมาใช้ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง

นโยบายด้านเศรษฐกิต ภาษี และทหาร

  1. นโยบายเศรษฐกิจ:
    การลดภาษี: ทรัมป์มีประวัติในการลดภาษีเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงการเป็นประธานาธิบดีครั้งก่อน เขาเคยผลักดันการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 35% เป็น 21% ซึ่งเขาอาจดำเนินนโยบายนี้อีกครั้งหากเขาชนะการเลือกตั้ง โดยหวังให้ธุรกิจมีการลงทุนและขยายกิจการเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น

    การลดการควบคุมทางการค้า: ทรัมป์มักมีนโยบายเชิงการค้าที่เป็นไปในทิศทางของการลดข้อตกลงการค้าเสรีและการเพิ่มกำแพงภาษีสินค้า นโยบายนี้อาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลกโดยรวม และอาจกระทบกับสกุลเงินต่างประเทศหรือการเคลื่อนไหวของค่าเงินในตลาดฟอเร็กซ์ เนื่องจากตลาดจะตอบสนองต่อความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ

    นโยบายเชิงเศรษฐกิจขนาดใหญ่: ทรัมป์อาจเน้นการส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อเสริมการเติบโต ซึ่งอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นและอาจมีผลกระทบต่อหนี้สาธารณะ
  2. นโยบายภาษี:
    การลดภาษี: ทรัมป์มีท่าทีที่สนับสนุนการลดภาษีทั้งในระดับบุคคลและระดับนิติบุคคล และเชื่อว่าการลดภาษีจะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ทรัมป์อาจผลักดันการลดภาษีเงินได้บุคคลจากอัตราปัจจุบันเพื่อลดภาระภาษีให้กับชาวอเมริกัน โดยเฉพาะผู้มีรายได้สูงการปรับโครงสร้างภาษีของบริษัท: นโยบายนี้อาจจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ มีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการลงทุนและจ้างงานเพิ่มเติม และอาจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทสหรัฐฯ บนเวทีโลก

    การลดภาษีการส่งออก: หากทรัมป์ดำเนินการลดภาษีการส่งออกหรือให้การสนับสนุนการค้าภายในประเทศ ก็อาจทำให้ตลาดโลกเกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางการค้าและกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น
  3. นโยบายการทหาร:
    การเสริมกำลังทหาร: ทรัมป์มักเน้นการเพิ่มงบประมาณด้านการทหารเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางทหาร และอาจเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีทหารสมัยใหม่และขีปนาวุธระยะไกล ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการป้องกันภัย

    การเสริมความมั่นคงในเอเชียและตะวันออกกลาง: ทรัมป์อาจมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในเรื่องของจีนและอิหร่าน ซึ่งอาจกระทบต่อการลงทุนและความไม่แน่นอนในตลาดการเงินการสนับสนุนพันธมิตรและการสร้างสมดุลทางการทหาร: ทรัมป์อาจจะยืนยันการปรับบทบาทในพันธมิตรทางการทหาร เช่น NATO โดยให้การสนับสนุนทางทหารแก่พันธมิตรในกรณีที่พวกเขามีการร่วมลงทุนทางทหารหรือให้การสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ

นโยบายที่ส่งกระทบต่อเงินเฟ้อ

  1. นโยบายการลดภาษีและการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ:
    การลดภาษี: เมื่อรัฐบาลลดภาษีโดยเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลและนิติบุคคล ผู้บริโภคและบริษัทจะมีเงินเหลือใช้มากขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนในเศรษฐกิจ ดังนั้นอาจเกิดแรงกดดันต่อราคาสินค้าและบริการ ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในระยะสั้น

    การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ: หากทรัมป์เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการใช้จ่ายในโครงการใหญ่ ๆ การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอาจเพิ่มการบริโภคในตลาดและกระตุ้นเงินเฟ้อ
  2. การพิมพ์เงินและนโยบายการเงิน:
    แม้ว่านโยบายด้านการเงินจะขึ้นอยู่กับการดำเนินการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่การดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายหรือการพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ถ้าทรัมป์ผลักดันนโยบายที่สนับสนุนการขยายตัวทางการเงิน เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐพร้อมกับการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือการสนับสนุนการเงินของเฟดในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี อาจทำให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นและเกิดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะยาว
  3. การเก็บภาษีและนโยบายการค้า:
    การปรับโครงสร้างภาษี: หากมีการลดภาษีสำหรับบริษัทและบุคคลในระดับกว้าง อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีเงินมากขึ้นในการใช้จ่าย และบริษัทมีเงินทุนในการลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งในบางกรณีอาจเกิดผลกระทบต่อเงินเฟ้อ โดยเฉพาะถ้าหากความต้องการสินค้าหรือบริการมากขึ้นในขณะที่อุปทานไม่สามารถตอบสนองได้ทัน

    การสงครามการค้า: นโยบายการค้าที่แข็งกร้าว หรือการตั้งกำแพงภาษีอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะถ้าผลิตภัณฑ์นำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ต้องเผชิญกับภาษีที่สูงขึ้น การขึ้นราคาสินค้าอาจเกิดขึ้นในตลาด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ
  4. ผลกระทบจากการขยายงบประมาณทหาร:
    หากทรัมป์มุ่งเน้นการเพิ่มงบประมาณทางทหารเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางทหาร โดยเฉพาะการลงทุนในเทคโนโลยีทหารขั้นสูง อาจมีการเบียดเบียนงบประมาณภาครัฐในด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษา หรือการดูแลสุขภาพ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลต้องเพิ่มการใช้จ่ายโดยรวม ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ
  5. ผลกระทบจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน:
    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) หากมีการใช้จ่ายจำนวนมากในโครงการเหล่านี้ อาจกระตุ้นการจ้างงานและการใช้จ่ายในภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในระยะสั้น แต่ในระยะยาวการสร้างความต้องการแรงงานและวัสดุอาจส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น และส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อหากอุปทานไม่สามารถตอบสนองได้